คอหนังที่ชื่นชอบผลงานภาพยนตร์แนวลึกลับแบบผีหลอกวิญญาณหลอน Exhuma ของผู้กำกับ จางแจฮยอน (ผลงานก่อนหน้า ‘Svaha: The Sixth Finger’) ที่ก็ลงมือเขียนบทเองด้วย ดูท่าทางเขาจะต้องการสร้างหนังที่บอกเล่าอะไรที่เป็นกลิ่นอายเกาหลีในด้านที่เกี่ยวกับวิญญาณและประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้ต้องการให้มันออกมาเป็นหนังแนวสยองขวัญทั่ว ๆ ไป เขาจึงเลือกจะเล่ามันให้สไตล์ของหนังสืบสวนสอบสวน โดยมีตัวละครหลักเป็นทีม 4 คน แต่ละคนก็จะเก่งกาจกันไปคนละด้าน แต่รวม ๆ แล้วก็เป็นไปในเชิงคนตายและคนทรงเจ้าอะไรแบบนั้น โดยที่ก็จะมีทั้งพวกเขาหัวเก่าและวัยรุ่นยุคใหม่ผสมๆ กัน
เมื่อเคล้าคนกันแล้ว มันจึงออกมาเป็น ‘ขุดมันขึ้นมาจากหลุม’ หนังที่เดินเรื่องด้วยคนสี่คน หนึ่งนักธรณีวิทยาคนที่หากินกับการหาพื้นที่สุสาน สัปเหร่อผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการซากศพ หมอผีคนทรงสาว และหมอผีรุ่นใหม่เจน Z ที่ต้องไปเจอกับวิญญาณร้ายที่ไม่เหมือนกับตัวใด ๆ ที่พวกเขาเคยพานพบมา
เรื่องราวในหนังจะถูกเล่าไปไกลกว่าที่คนทั่วไปจะได้รู้จากตัวอย่างไปเยอะมาก แน่นอนว่า มันจะไม่ได้มีแค่การขุดเอาโลงศพขึ้นมาและปลดปล่อยวิญญาณโดยบังเอิญ แต่มันจะเล่าต่อจากนั้นไปอีก และสี่ตัวละครก็ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงโดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบแบบใด
ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ, พิธีกรรมหมอผีและธรรมเนียมพื้นบ้านเกาหลี เข้ากับประวัติศาสตร์บาดแผลของประเทศเกาหลีกับญี่ปุ่น บรรยากาศของหนังเป็นโทนตึงเครียดเชิงจิตวิทยา ผสมกับความลุ้นระทึกแบบภูติปีศาจ จึงขาดความหลอนเสียวสันหลังไปอย่างน่าเสียดาย
เส้นเรื่องของ ‘ขุดมันขึ้นมาจากหลุม’
เรื่องย่อของ Exhuma ว่าด้วยภารกิจสุดลึกลับและชวนขนลุกของสองคู่หุหมอผี (คิมโกอึน และ อีโดฮยอน) , ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย (ชเวมินชิก ) และ เจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพ (ยูแฮจิน) ที่ต้องร่วมมือกันหาสาเหตุของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ก่อกวนครอบครัวเศรษฐีใหญ่ของเกาหลีซึ่งย้ายไปพำนักในสหรัฐ วิธีแก้ที่พวกเขาคิดได้คือการขุดสุสานบรรพบุรุษของตระกูลขึ้นซึ่งฝังอยู่บนเขาบ้านห่างไกลของเกาหลี แล้วทำพิธีเผา ซึ่งนั่นคือจุดเรื่องต้นของความสยองที่ไม่มีใครนึกถึง
ประธานพัค หัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้ขุดสุสานขอร้อว่าอย่าเปิดโลงศพ แต่ให้ทำการเผาทันที การกระทำเช่นนี้ถือว่าขัดต่อธรรมเนียมและกฎของการจัดการศึก อย่างไรก็ตาม การเผาศพต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่คาดคิดเนื่องจากสภาพอากาศย่ำแย่ เมื่อโลงศพถูกเคลื่อนย้ายไปห้องเก็บศพชั่วคราว “สิ่งอันตรายบางอย่าง” ก็เล็ดลอดออกมา
ในช่วงครึ่งแรกของหนังที่มีความยาว 134 นาทีนั้น สร้างความตึงเครียดจากพลังลึกลับของผี ผสมกับความคาดหวังว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ตรึงคนดูด้วยการเล่าเรื่องลงลึกอ้างอิงขนบธรรมเนียมด้านวิญญาณของเกาหลี ขับเรื่องด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมของทีมนักแสดง
สิ่งต่อมาก็คือ หนังมันเปิดโอกาสให้คนดูได้ลุ้นระทึกแถมนั่งคาดเดาไปพร้อม ๆ กับตัวละคร คล้ายว่าคนดูล่วงรู้กติกาของเกมแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวไหนดี ตัวไหนร้าย ไม่ว่าจะเดาถูกหรือผิดก็ชวนบันเทิงได้ทั้งสอบแบบ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หนังเตรียมเซอร์ไพรส์ไว้ให้เราหลายตลบ ตัวละครทั้งสี่ก็เซอร์ไพรส์ไปกับเราเช่นกัน เรียกได้ว่ามีความเป็นหนังปราบปีศาจ แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนนักสืบที่สืบเรื่องนึงดันไปเจออีกเรื่อง คราวนี้ก็รับมือไม่ถูกกันล่ะสิ อะไรแบบนี้เป็นต้น
นเรื่องนี้ เราจะได้เห็นฝีมือของ ชเวมินชิก อีกครั้ง ต้องบอกว่าเล่นแต่ละเรื่องก็ไม่เคยจะเหมือนกันสักเรื่อง ด้าน ยูแฮจิน ก็สวมบทชายที่เนิร์ดในด้านสัปเหร่อ ขณะที่ตัวละครของ อีโดฮยอน หมอผีรุ่นใหม่ที่โดนจับมาสักหน้า เขารับบทตีกลองพลางร้องประสานไปกับฮวาริม เป็นบทรสชาติใหม่ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง
นักแสดงคือของดีของเรื่อง
นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง ชเวมินซิก ถ่ายทอดภาพซังด็อก ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยมากประสบการณ์ผู้รู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร แม้กระนั้น เขาก็ยังคงทำงานด้วยจรรยาบรรณแบบไม่กลัวชีวิต ส่วน คิมโกอึน ก็แปลงโฉมได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นหมอผีรุ่นเยาว์ผู้ทำพิธี “บูชายัญ” โบกสะบัดมีดคมกริบและคาบมีดไว้ในปากเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในตระกูล
ทว่าความตึงเครียดกลับคลี่คลายลงอย่างกะทันหันเมื่อพลังร้ายซึ่งเป็นแก่นของความลึกลับในภาพยนตร์เรื่องนี้เผยตัวออกมา พลิกโทนเรื่องจาก “ผี” ไปเป็น “ปีศาจ” การเดินเรื่องหลังจากนั้นเน้นการอธิบายปมและวิธีแก้ไขอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจ ไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการเลย
ใน “Exhuma” ผู้กำกับพยายามนำเสนอหนังลึกลับเหนือธรรมชาติมุมมองใหม่ โดยเพิ่มสิ่งมีชีวิตคล้ายซอมบี้ซึ่งมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในบริบทประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ยังน่าสงสัยว่าเขาจะส่งสารนี้กลับถึงบ้านด้วยความน่าสนใจมากน้อยเพียงไร
หนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างคาบเกี่ยวอยู่พอสมควรว่าจะถูกใจสายหนังผีสยองขวัญหรือไม่ แต่ผู้เขียนเข้าไปดูแล้ว ยอมรับว่าไม่่รู้สึกหลอนติดตัวเมื่อดูจบ แต่ก็สนุกลุ้นระทึกระหว่างรับชมไปจนถึงฉากสุดท้าย
เสน่ห์ที่หนังหยิบจับหลายศาสตร์หลายวัฒนธรรมมาผสมชงรวมกัน ตั้งแต่ฮวงจุ้ยแบบจีน หมอผีร่างทรงแบบเกาหลี สัปเหร่อส่งวิญญาณแบบคริสต์ พระกับวัดพุทธ ตำนานความเชื่อ คาถาเวทคุณไสย ไปจนถึงลูกไฟวิญญาณ เป็นองค์ประกอบที่รวมได้มิติแปลกใหม่อีกขั้นสำหรับหนังผีๆ และเสริมลุคทันสมัยด้วยบุคลิกคนรุ่นใหม่แบบฮวาริม บงกิล หรือแม้แต่พัคจาฮเย (รับบทโดย คิมจีอัน) รุ่นน้องฮวาริมที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย และยังมีแม่หมอแบบท้องโตอย่างโอกวังชิม (รับบทโดย คิมซอนยอง) ให้ภาพแปลกตาที่ช่วยลดความไกลตัวไกลใจของศาสตร์หมอผีไปได้เยอะเลย ฮวาริมเองที่สามารถทำงานร่วมกับรุ่นอาวุโสอย่างซองด็อกได้อย่างดีมีเสน่ห์ อาจเป็นความสมดุลแบบหยินหยาง หรือธาตุทั้งห้าก็ได้นะ
Hint จากต้นเรื่องที่โปรยไว้ว่าปู่ในโลงคือ คนขายชาติที่ฝักใฝ่ญี่ปุ่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน (ในสมัยที่ญี่ปุ่นรุกรานเข้าครอบครองเกาหลีระหว่างปี 1953-1958) คือที่มาของสิ่งลี้ลับที่อยู่ในหลุมศพที่ยังปกคลุมด้วยพลังชั่วร้าย แม้ว่าโลงของปู่จะถูกขุดออกไปก็ตาม
นี่คือการสะท้อนอดีตอันเจ็บปวดที่ยังฝังใจชาวเกาหลีส่วนใหญ่ ผู้ชมหลายคนอาจคิดว่า อีกละ! ตัวร้ายเป็นญี่ปุ่นอีกแล้ว ตัวร้ายครั้งนี้มาในรูปแบบที่เกินคำว่า ‘ผี’ ไปอีก เป็นวิญญาณปีศาจร้ายที่แสดงภาพโหดเหี้ยม กระหายการฆ่าอย่างไร้สติ มีร่างใหญ่โตเกินมนุษย์มนา เพื่อกดดันตัวเอกของเราให้จ้อยร่อย ไม่ต่างจากสมัยนั้นที่คนเกาหลีถูกอำนาจญี่ปุ่นกดขี่บีบคั้น ถูกยึดชาติ ทรัพยากร ยึดอิสรภาพ ยึดชื่อ ยึดความเป็นคนไปหมดสิ้น
แต่ดูดีๆจนจบ โดยภาพรวมจะพบว่า ไม่ได้มีการปลุกปั่นตอกย้ำความเกลียดชังญี่ปุ่นแต่อย่างใด หนังกลับสื่อนัยเชิงบวก ให้คนรุ่นใหม่เคลียร์อาถรรพ์ฝังใจ เอาความเจ็บปวดเคืองแค้นนี้ออกไปจากใจ เหมือนที่ลูกหลานของตระกูลมีความอับอายย้ายไปอยู่ต่างแดน ไปจนถึงทารกน้อยที่ถูกช่วยเอาเสียงกรีดร้อง (ความเจ็บปวดและเสียงสาปแช่งของคนร่วมชาติในอดีต) ออกไปหมดสิ้น จึงได้ชีวิตตั้งต้นใหม่ที่ดี บทพูดของฮวาริมที่พยายามจะบอกว่าที่นี่ไม่มีสงครามใดๆอีกแล้ว อย่าได้ยึดติด จงไปเสียเถิด บทพูดของซองด็อกที่มีปณิธานอยากคืนผืนดินที่สะอาด สมบูรณ์ เป็นฮวงจุ้ยที่ดีให้กับลูกหลานของประเทศนี้ ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นงานที่สื่อความได้ฉลาดแยบยลดี และให้บทสรุปเชิงสร้างสรรค์มากกว่า ตีความเชิงอุปมาว่ามาขจัด ‘ผีในใจ’ กันเถอะ
จุดแข็งอื่นที่เสริมให้เรื่องนี้ดูทรงพลังและมีเสน่ห์มากขึ้น ก็คงไม่พ้นฝีไม้ลายมือของนักแสดงหลักทั้งสี่ ที่ต้องเอ่ยถึงก็คงเป็นสองคนที่โดดจากงานเดิมๆ ก็คือ คิมโกอึน เรียกว่าเอนเนอร์จี้สาดจนตีบทแตก ฟิลขลังนี่เอาอยู่เลย อีโดฮยอนเองก็ใช่ย่อย เล่นดีมีเสน่ห์น่ามอง (ชวนสงสัยเลยว่าถ้าเป็นผีสาวจะหวั่นไหวไม๊น้า)
งาน cinematography คือดี ภาพโอ ซาวน์ถึง ในจังหวะกำลังดี เรื่องนี้ผู้กำกับไม่เน้นซีจี แต่เน้นการถ่ายจริง ใช้เทคนิคการถ่ายภาพเข้ามาช่วยเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น การสร้างสิ่งที่ถูกเรียกเป็นภูติสถิตย์ ด้วยนักแสดงคิมมินจุน คิมบยองโอ (นักบาสเก็ตบอล) อารมณ์ภาพที่ได้จึงดูหลอนดีไปอีกแบบ
โดยรวมแล้ว สำหรับเราคนไทยอาจไม่ได้รู้สึกปังมากเท่าคนเกาหลี แต่ก็ยอมรับว่าคุณภาพงานและความสนุกอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และถ้าใครไม่เข้าใจความหมายของนัยที่เขาต้องการสื่อถึงอดีตเบื้องลึก ก็อาจไม่อินหรือขัดใจการเปลี่ยนถ่ายเนื้อหาจากพาร์ตแรกมาพาร์ตหลังก็ได้ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดกิมมิคที่คนเกาหลีเขาเก็ต แต่เราคนไทยอาจไม่รู้ เช่น ชื่อบงกิล เป็นชื่อของนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพจริงๆในยุคนั้น เลขทะเบียนรถในเรื่อง 0301 หรือ 0815 นั้นล้อกับวันอิสรภาพ และวันชาติซึ่งประกาศอิสรภาพของเกาหลี มุมเล็กๆน้อยๆแต่เสริมความน่าชื่นชมได้เลยค่ะ
เอาหละ ติดไม้ติดมือเอาไปคิดต่อกันได้ ใครมีเรื่องค้างคาใจ อย่าเก็บไว้บั่นทอนจิตตัวเอง ขุดขึ้นมาเคลียร์ซะให้โล่งๆแล้วเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกันเลยค่ะ
รวม ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นหนังผีที่เน้นความน่ากลัว หนังไม่ค่อยใช้ช็อตตุ้งแช่มากนัก (แต่ก็มีคนดูที่กลัวผีบางคนที่สะดุ้งได้อยู่เหมือนกัน) มีความเป็นหนังรวมทีมปราบปีศาจ แต่เล่าในสไตล์หนังนักสืบ พาคนดูลุ้นระทึก เหวอ สลับเซอร์ไพรส์ สร้างแต่ความไม่น่าไว้วางใจ ก่อนจะพบว่าหนังมีความนัยแอบแฝงถึงเรื่องราวในอดีต และในช่วงท้ายของหนังก็เริ่มจะมีบางส่วนที่ชวนสงสัยอยู่บ้าง ราวกับต้องใช้การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติเกาหลีมาเสริมความเข้าใจด้วย
+ There are no comments
Add yours